วันที่ 25 ก.ค. 62 ที่ผ่านมา นายนิพล พรหมมี หรือ โจ อายุ 29 ปี ร้องเรียนว่า ภรรยาตั้งครรภ์ 7 เดือน มีอาการถุงน้ำคร่ำแตก เมื่อไปโรงพยาบาลแรก แพทย์ให้นอนดูอาการก่อนจะมาแจ้งว่ามีตู้อบไม่เพียงพอ จึงแนะให้ย้ายโรงพยาบาล สุดท้ายลูกในครรภ์เสียชีวิต จากการสอบถาม นายนิพล เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 62 เวลาประมาณ 05.00 น. ภรรยาของตนถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด จึงโทรศัพท์ไปปรึกษากับหมอที่ภรรยาฝากครรภ์ ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าให้ไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์รังสิต โดยไปถึงโรงพยาบาลในเวลาประมาณ 06.00 น. เนื่องจากค่อนข้างไกลบ้าน พยาบาลให้นอนรอดูอาการ และพูดเรื่องค่าใช่จ่ายอยู่เป็นเป็นเวลานาน ก่อนจะบอกว่าตู้อบสำหรับเด็กหลังคลอดเต็ม จึงไม่สามารถทำคลอดเด็กได้ ต้องย้ายโรงพยาบาล ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงตัดสินใจโทรหาหมอที่ฝากครรภ์อีกครั้ง และได้คำแนะนำว่าให้กลับมาที่โรงพยาบาลอยุธยา เนื่องจากอยู่ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ไม่ได้มีการทำอะไรเลย จึงกลัวว่าจะมีผลกระทบกับการหายใจของลูกในท้อง ตนเองจึงขับรถพาภรรยาไปที่โรงพยาบาลอยุธยาเอง เนื่องจากโรงพยาบาลไม่ได้มีการช่วยนำรถพยาบาลไปส่งตนเองและภรรยา หรือมีการช่วยเหลือใด ๆ เลย จากนั้นตนเองมาถึงโรงพยาบาลอยุธยาประมาณ 08.00 น. โรงพยาบาลก็นำภรรยามาที่ห้องรอคลอด และหลังจากนั้นตนเองก็ไม่ได้พบภรรยาอีก จนกระทั่งวันที่ 19 ก.ค. เวลาประมาณ 08.00-09.00 น. แพทย์ตรวจพบว่าลูกในท้องหัวใจหยุดเต้น จึงต้องรีบผ่าตัดเอาลูกออกมาให้เร็วที่สุด ตอนนั้นตนเองตั้งข้อสังเกตว่าเวลาผ่านไปเกือบ 12 ชั่วโมง ทำไมโรงพยาบาลเพิ่งจะผ่าตัด เพรราะพยาบาลมาแจ้งกับตนว่า หมอได้มาตรวจภายในตั้งหลายครั้ง และพบว่าหัวลูกได้หันออกมานอกบริเวณช่องคลอดตั้งนานแล้ว แต่ปล่อยให้ภรรยาต้องรอจนถึงเช้าอีกวัน
หลังจากนั้นลูกของตนเองก็ได้คลอดออกมาช่วงประมาณ 10.30 น. พยาบาลได้นำลูกไปห้องผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤตอย่างเร่งด่วน พร้อมกับติดเครื่องช่วยเหลือหลายอย่าง เพื่อช่วยให้ลูกของตนเองหายใจได้ เมื่อตนเองเห็นลูกในสภาพนั้นก็สงสารเป็นอย่างมาก แต่ทำได้แค่เพียงมองลูกอย่างเดียว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ลูกเลย หลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นาน แพทย์แจ้งว่า ลูกของตนเองหัวใจหยุดเต้น 2-3 ครั้ง เนื่องจากมีความดันต่ำ จึงขอเวลาดูอาการอีก 2 ชัวโมง และถามตนว่า ถ้าลูกยังไม่ดีขึ้น จะให้แพทย์ช่วยลูกต่อไหม หรือจะปล่อยให้ลูกหลับ เมื่อตนเองได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสงสารลูก แต่ก็ไม่อยากให้ลูกต้องจากไป โดยตนเองได้ขอให้แพทย์ช่วยยื้อชีวิตลูกไว้สักครั้ง แต่ถ้าลูกยังไม่ดีขึ้นก็ให้แพทย์ปล่อยลูกหลับได้เลย กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. แพทย์ได้แจ้งว่าลูกเสียชีวิตแล้ว จึงอยากให้โรงพยาบาลออกมารับผิดชอบ และชี้แจงถึงการกระทำในเหตุการณ์ดังกล่าว ด้านนางปณัฐดา ศักดิ์วิกลม อายุ30 ปี ภรรยาผู้สูญเสียลูก รู้สึกค้างคาใจว่า ถ้าโรงพบาบาลอ้างว่าตู้อบเด็กเต็ม ทำไมไม่แจ้งให้ทราบตั้งแต่แรก ปล่อยให้ตนทนปวดอยู่ตั้งนานทำไม และโรงพยาบาลไม่มีการช่วยส่งย้ายโรงพยาบาลอีก สามีต้องขับรถพาไปเอง ซึ่งถ้าครอบครัวที่ไม่มีรถจะต้องลำบากแค่ไหน ตนเองก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากต้องสูญเสียลูกคนแรกไป ทั้ง ๆ ที่ต้องอดทนตั้งท้องมาเป็นเวลานาน ซึ่งตนเองนั้นอยากให้โรงพยาบาลปรับปรุงในเรื่องของขั้นตอนในการนำส่งตัวหรือรักษา ให้รวดเร็วขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่างขึ้นกับใครอีก และอยากให้โรงพยาบาลออกมาชี้แจงและรับผิดชอบกับการสูญเสียในครั้งนี้ ว่าจริง ๆ แล้วตู้อบมีไม่เพียงพอ หรือกลัวไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา และทำไมไม่มีการช่วยเหลือเรื่องการนำคนเจ็บเคลื่อนย้ายต่อไปรักษาอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
สาวท้องลูกคนแรก น้ำคร่ำแตก โวย รพ.ถามหาแต่เงิน รักษาช้า สุดท้ายเด็กเสียชีวิต
4/
5
Oleh
https://everythingnews4.blogspot.com/
Note: Only a member of this blog may post a comment.